***Carbobydrate แบบภาษาคน***
ต้องไล่ตั้งแต่ Sugar ก่อน
Sugar แบ่งได้ 4 แบบ
1Glucose หล่อเลี้ยงทุกอย่างของร่างกาย glucose ได้รับจากการ กิน หรือถ้าไม่กิน ร่างกายสร้างกลูโคสจากไขมัน และ/หรือโปรตีน ก็ได้ หมายความว่า ร่างกายสร้างกลูโคสจากสารอาหารอื่นได้ คนจึงสามารถกินคีโตหรือ carnivore diet แล้วอยู่ได้
Fructose น้ำตาลผลไม้ แต่เดี๊ยวนี้เสือกไปเจอในอาหารแปรรูปได้ทุกชนิดและเยอะด้วย ***ตัวนี้ร่างกายไปใช้ทันทีไม่ได้*** ต้องไปเปลี่ยนเป็นกลูโคสที่ตับ ปัญหาคือ Frustose ถ้าเยอะเกิน ตับจะเปลี่ยนเป็นไขมัน ประมาณว่า กูทำไม่ไหวละ เก็บไว้ก่อน นานๆ ไป ใช่ ไขมันพอกตับ พอพอกตับมากๆ การใช้น้ำตาลก็ด้อน แล้วเข้าลูปนรก
Sucrose (น้ำตาลทราย) คือ Fructose + Glucose จับมือกัน ร่างกายจะมีเอนไซม์ไว้ตัดมันแยกออก
Lactose น้ำตาลในนมวัว บางคนแพ้ หรือถ้ามากไป ก็จะเป็นสารอักเสบ
อาหารทั่วไป ไม่ค่อยมี Fructose ถ้ามีก็น้อย ไม่มีปัญหา ผลไม้กินได้ เพราะมีกากใย มันก็ช้าลง จะมีปัญหาที่น้ำผลไม้เข้มข้น น้ำหวาน และอาหารแปรรูป ขนมรสหวานต่างๆ เพราะพวกนี้จะมี HIGH FRUCTOSE CORN SYRUP ผสมอยู่เยอะ ก็ไม่ต่างกับการกรอก FRUCTOSE เท่าไหร้
(แต่คนใช้ยา Glucose Metabolism ก็เร็ว ดังนั้นคิดว่าการกินของพวกนี้ จะได้เยอะกว่าคนปกติ ยิ่งพวกใช้ TREN ยิ่งจัดการกับพวกนี้ได้ดี การใช้ฮอร์โมน การจัดการสารอาหารจะดีกว่าคนปกติมาก ร่างกายจะสร้างโปรตีนได้เยอะ ใช้น้ำตาลได้เร็ว)
ต่อมา แหล่งของ Carbohydrate ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า ค่า GI บ่งบอกว่ามัน เร็ว ขนาดไหน ยิ่งเร็วมาก การตอบสนองก็เร็ว เอาง่ายๆ อินซูลินขึ้นลงเร็ว หิวเร็ว อยากอาหารเร็ว
นอกจากค่า GI อีกอย่างที่กำหนดความเร็ว คือ ใยอาหาร และ ไขมัน ถ้ามาก มันจะช้าลง
ถ้ากินอาหารที่มีค่า GI สูง ในปริมาณมาก สิ่งที่เกิดคือ Insulin จะขึ้น แล้วลงเร็ว ตอนมันลง จะเริ่มหิว อยากกินอีก
แต่กลับกัน ถ้าอาหารนั้น "ช้า" เช่น เป็นโปรตีน + ไขมัน ร่างกายจะค่อยๆ ไปเปลี่ยนเป็น Glucose ซึ่งจะเหมาะกับคนทำงานนั่งโต๊ะ กินช่วงเช้า เพราะระกับพลังงานจะนิ่ง ไม่หิวบ่อย ไม่ง่วง ไม่เสี่ยงโรคอ้วน ยกตัวอย่าง ไข่คนใส่เนย + เบคอน หรือที่ฮิตกัน ก็ สเต็ก + ไข่ อะไรว่าไป โปรตีนจากสัตว์ + ไขมัน ประมาณนี้
แต่ช่วงที่ร่างกายต้องการอาหาร "เร็ว" ก็อาจจะเป็นระหว่างการเวท หรือหลังเวท
ตัวอย่างที่ชัดที่สุด คือการใช้ Glucose แบบผง การให้น้ำเกลือในโรงบาล ก็จะมี Glucose และแร่ธาตุ เพื่อทดแทน โดยสัดส่วนทั่วไปคือ 1 ลิตร มีกลูโคส 50 กรัม แล้วระยะเวลาการดริปเท่าไหร่ เพื่อกำหนด insulin level ไม่ให้ปรู๊ดปร๊าด คนป่วยจึง Stable
การนำไปใช้ชีวิตจริง
ก็แค่ต้องการ Stable Insulin Level นั่นแหละ จึงเลือกกินคาร์บให้เหมาะ ความหิวก็จะควบคุมได้เอง แต่ถ้านับแคลๆ แล้วไม่เข้าใจกลไกที่แท้จริง ก็ยิ่งนับยิ่งหิว บางอย่าง คิดว่าคลีน แต่เหี้ย ก็เช่น Instant oat ยิ่งกินยิ่งหิว ยิ่งอ้วน เพราะค่า GI สูง
ยิ่งถ้าเข้าใจว่า ร่างกายสามารถสร้าง GLUCOSE หรือดึงไขมันมาใช้ได้ ก็คือหมายความว่า คนที่ไขมันสะสมเยอะ ก็สามารถงดคาร์บ เช้า กลางวัน แล้วค่อยกินตอนเย็น ก่อนนอน หรืออาจจะมีเล็กน้อยก่อนเวทหน่อย เพราะต้องการให้ร่างกายสร้างกลูโดสโดยการเอาไขมันสะสมมาใช้ แล้วเราเติมไปแค่ก่อนเวท พลังงานจะสูงปรี๊ดเลย แล้วไม่ CRASH
แต่ถ้าเป็นคนออนยาโดสถึงๆ + ไขมันต่ำ หรือไขมันต่ำแล้วต้องการสร้างกล้ามเร็วๆ ก็แน่นอนคุณต้องกินแป้งเยอะตาม
หลักการก็คือ STABLE INSULIN LEVEL ถ้าไม่รู้สึกว่าง่วง หรือ CRASH ระหว่างวัน ก็คือโอเค มาถูกทาง
ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของคาร์บ คือก่อนนอน เพราะคาร์บจะช่วยให้ร่างกายนำกรดอะมิโนจากโปรตีนไปหาสมอง ให้หลั่งสารนอนหลับ แล้วก็จะหลับสบาย ฟื้นตัวดี แล้วถ้ายิ่งได้ ไขมัน จากไอศครีมนม อร่อยๆ ก็ยิ่งช้าลง ดียิ่งขึ้นไปอีก เห็นได้ชัดคือพวกที่ออน TREN/EQ ถ้าคาร์บต่ำเกิน หรือไม่ได้กินก่อนนอน จะนอนไม่หลับ
แต่ถ้าเป็นคนออนยาครบๆ โดสถึงๆ ก็หมายความว่ากินน้ำตาลได้เยอะ เพราะใช้หมด แต่คนปกติจะทำไม่ได้เพราะมันจะง่วง
จบ รูปประกอบไม่เกี่ยวอะไร
Comments