top of page
รูปภาพนักเขียนเจ้าของไงจะใครล่ะ

Testosterone ครบ จบ ในโพสเดียว

อัปเดตเมื่อ 12 ก.ย. 2563

Testosterone จะพูดว่าเป็น "Father of all anabolic steroid" ก็ไม่ผิด เพราะว่าเป็นฮอร์โมนตั้งต้นตอนแรก คือสังเคราะห์ขึ้นมาก่อน แล้วก็ดัดแปลงนิดๆ หน่อยๆ ได้ฮอร์โมนตัวอื่นออกมามากมายเลย นับไม่ถ้วน แล้วเทสเนี่ยพอย่อยออก จะได้ DHT พอเอา DHT ไปดัดแปลงอีก ก็ได้ฮอร์โมนออกมาอีกมากมาย แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะตัวที่เหลือรอดใช้ได้จริง ก็คือตัวที่ขายๆ กันทุกวันนี้นี่แหละ ไม่กี่ตัว โพสนี้เอาเรื่องเทสให้จบ


Testosterone ก็คือฮอร์โมนเพศชาย คือ "สิ่งที่ทำให้ผู้ชายเป็นผู้ชาย" มีหนวด มีกล้ามเนื้อ ร่างกายที่ใหญ่กว่าผู้หญิง ถ้าผู้ชายคนไหนขาดเทส ก็จะไม่แข็งแรง เป็นโรคที่เรียกว่า Hypogonadism ดูง่ายๆ ก็รูปนี้

โอเคนะเห็นภาพ โรคนี้เดี๊ยวนี้ไม่น่ากลัวแล้ว เพราะ Testosterone แบบฉีด ราคาถูกและหาได้ง่าย

และมีการต่อ ESTER เพื่อกำหนดระยะเวลาในการทำงาน (ตามค่า Half Life คือว่าที่ระดับยาลดลงจนเหลือครึ่งนึง) ให้มีความสะดวก ไม่ต้องฉีดบ่อย ที่นิยมในวงการเพาะกายก็จะมี

  1. Testosterone Enanthate (7-9 วัน)

  2. Testosterone Cypionate (8-9 วัน)

  3. Testosterone Propionate (4 วัน)

  4. Testosterone Suspension (5 ชั่วโมงโดยประมาณ)

แต่ละตัวเป็น Testosterone เหมือนกันแต่ให้ผลต่างกันนะครับ ถ้าใครว่าเหมือนแสดงว่าไม่รู้จริง


จำไว้ง่าย ๆ เลยว่า

"ยิ่งยาวยิ่งแรงยิ่งได้เนื้อเยอะ"

เพราะว่าพอมันยาวเนี่ย ร่างกายจะเอาไปใช้ได้มากซึ่งรวมไปถึงการถูกเปลี่ยนเป็น Estrogen จะสูงกว่าทำให้มีความ Anabolic มากกว่า มีการวิจัยพิสูจน์แล้วชัดเจนว่าแบบยาวนี่ดีกว่าเห็นๆ แล้วถ้าสังเกตุจริงๆ เนี่ย จะรู้เลยว่าความหื่นความแข็งของควยไม่เหมือนกันด้วยนะ ได้เทสอีดีๆ นี่แข็งสุด แข็งนาน เพราะการแข็งเนี่ย ต้องมีความสมดุลของ Estrogen ซึ่งตัวยาวๆ จะรักษาสมดุลได้ดีกว่าตัวสั้น


แล้วแบบสั้นมีไว้ทำไม ?

มีไว้ตอนที่จะเอาแห้งจัดๆ ไงครับ เพราะ Estrogen = แห้งไม่สุด คือแห้งได้นะแต่ไม่สุด สุดแบบกรอบอะ กับเอาความเดือดเอาอารมณ์ของเทส บางคนจะปัก Testosterone Suspension ก่อนไปซ้อม เพื่อเป็น Pre workout เป็นต้น หรือบางคนก็ชอบมากกว่าและโอเคที่จะปักบ่อยๆ ให้มันได้โดสและความต่อเนื่องแบบตัวยาว แบบนี้ก็ได้


แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่ใช่ Hardcore User นะ ผมว่าก็ใช้แบบยาวไปเถอะ


ต่อมาขอพูดถึงโดสของ Testosterone ว่าควรจะอยู่ที่เท่าไหร่

อันนี้เป็นอีก 1 อย่างที่ว่ากันตามตรงว่ายังไงข้อสรุปไม่ได้

- บางสายว่ากันว่าต้องเทสน้อย ไปหนักตัวอื่นดีกว่า เพราะเทสผลข้างเคียงเยอะ

- บางสายว่าเทสเยอะดีกว่า เพราะมันไม่ก็ไม่เห็นมีผลข้างเคียงอะไรเลย


โอเค ช่างมันก่อน มาดู FACT กันก่อนดีกว่า

1. Testosterone คือฮอร์โมนเพศชายและเป็นสิ่งที่ร่างกาย "ไม่แพ้" จะแพ้ได้ยังไงมันติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถ้าแพ้ คือแพ้น้ำมันหรือส่วนผสมในยาฉีด ก็ว่ากันไป

2. Testosterone จะถูกเอนไซม์ในร่างกายย่อย ได้ DHT (Dihydrotestosterone) ตัวนี้ว่าง่ายๆ คือ "ความเป็นชาย" และเป็น Androgen ที่แรงมาก คือลักษณะชายต่างๆ หนวด เครา หัวล้าน(ถ้ามี) จะเกิดจากตัวนี้เป็นหลัก >> (ยา Finasteride ที่ไว้ลดผลข้างเคียงพวกนี้ทำงานโดยการบล็อคการเปลี่ยน Test เป็น DHT >> Key ต่อมาคือ Finasteride เนี่ย มันจะไม่กันพวก Tren และ DHT Derivative ไง พวก Primo, Masteron ไรงี้)

3. ตอนนี้เราได้ DHT แล้วใช่ไหม อย่างที่บอกนี่คือสิ่งที่คุมความเป็นชาย รวมไปถึงความเงี่ยน, อารมณ์, แม้แต่เรื่องของ GYNO

4. KEY ต่อมาคือไอ DHT เนี้ยเป็นตัวคุม ปัญหาคือยาบางตัว เช่น EQ, Dbol ร่างกายสามารถย่อยได้ แต่สิ่งที่ออกมายังไม่ใช่ DHT ทำให้บางครั้งมันไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ สังเกตุง่ายๆ คือ อารมณ์ไม่ดี ไม่อยากทำอะไร ปวดหัว ควยไม่แข็ง (เพราะควยแข็งเกิดจาก DHT จับได้แน่น ถ้าตัวย่อยอื่นไปจับแต่ปริมาณ DHT มันน้อย มันจะแข็งไม่สุด)

5. อ้าว งี้ไม่ต้องฉีดเทสกินโปรวิรอนก็ได้สิ (Proviron = DHT เม็ด) อันนี้ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะยังไง Testosterone ก็คือตัวหลักอยู่ดี มันถูกแปลงเป็น DHT แค่ส่วนนึง อีกอย่างงานวิจัยส่วนมากบอกว่า DHT แรงก็จริงแต่พอถึงกล้ามเนื้อจะถูกทำให้ใช้งานไม่ได้สะงั้น (แต่งานใหม่ๆ บางงานก็บอกว่าทำกล้ามได้)

6. จากข้อ 5 ต่อให้โปรวิสร้างกล้ามได้แต่โปรวิมีอัตราการรอดผ่านตับแล้วนำไปใช้ได้เพียง 3% คือกิน 100 ได้แค่ 3 mg แต่ตัวอื่น เช่น อนาวา กิน 100 ใช้ได้ 97 ผมก็คิดว่าไปกินอนาวาน่าจะดีกว่าล่ะมั้ง คหสต แต่ใครชอบก็ใช้

7. ต่อมาอีกๆ ยาบางตัวร่างกายมันย่อยไม่ได้แล้ว เช่น Tren, Primo, Anavar, Stano, Oxy ทำให้บางครั้งเนี่ย มันมีปัญหาคือ ควยมันไม่แข็ง เพราะยาพวกนี้ไม่สามารถทำฟังชั่นเดียวกันกับ DHT ได้

8. แต่ทำไมบางคนเทสน้อยก็ยังปกติ ?? นี่แหละปัญหาคือวิทยาศาสตร์ยังอธิบายไม่ได้ทั้งหมด งานพวกนี้ใช้ทุนเยอะและต่อยอดไม่ค่อยได้ ไม่มีใครสนใจทำ ในบางคนยาอื่นก็อาจจะทำฟังชั่นเดียวกับเทส, DHT ได้ อย่างที่เห็นชัดเลยตอนนี้ก็ Trestolone ที่ไม่ต้องใช้เทสก็ได้

9. เทสจริงๆ ไม่ได้อันตรายเลย อย่างเหี้ยที่สุดที่จะเจอคือ LDL สูง ซึ่งตัวไหนก็สูงหมด แก้ได้เลย ยากลุ่ม Statin มีเป็นสิบๆ ตัว ปลอดภัยขนาดคนแก่กินทุกวัน (มันจะเอาอะไรมาอันตรายร่างกายสร้างอยู่)

10. แล้วเทสล้วนๆ ก็เป็นสิ่งที่ได้ผลดีมาก ได้จริงๆ และพิสูจน์แล้วมีงานศึกษารองรับมากที่สุด

11. จะมีข้อเสียชัดๆ ข้อเดียวคือ มันบวมน้ำมากกว่ายาฉีดตัวอื่นด้วย ถ้ามันเยอะมากแน่นอนความโหดจะดรอปลงทันทีเพราะบวมน้ำ (แต่จริงๆ ใส่มาสเตอโรนตัดไปหน่อยก็หายแล้ว)

12. อันนี้อย่าตกใจ แต่ Gyno โดยมากไม่ได้เกิดจาก Testosterone เยอะนะ แต่เกิดจากร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลได้ เช่นบางคน ไม่ใช้เทสแต่กิน Dianabol เยอะ หรือบางคนใช้ยานานๆ แล้วหยุดทันทีโดยไม่ PCT


ถ้าอ่านถึงตรงนี้ก็น่าจะพอเข้าใจบ้างแล้ว แล้วสรุปว่า Testosterone ต้องเท่าไหร่กันแน่ ?


อย่างที่เกริ่นไปบางคนสามารถเป็นปกติได้ต่อให้เทสน้อย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับยาตัวอื่นใน Stack ด้วย บางตัวมันอาจจะทำแทนเทสได้ บางตัวอาจจะไม่ได้


ซึ่งจากที่ขายๆ มานะ ผมคิดว่าวิธีที่ดีสุดในการหาโดส Testosterone คือ

1. ทุกครั้งที่เริ่ม Stack ใหม่ รันด้วยเทสก่อน จับความเงี่ยนตัวเองให้ได้ว่าขนาดไหน

2. พอเริ่มใส่ยาตัวอื่น สังเกตุที่ความเงี่ยนกับความแข็ง เพราะอันนี้ดูง่ายสุดละ ถ้ามันดรอป อาจจะต้องเพิ่มเทส (จะเพิ่มเทสหรือโปรวิ ก็กลับขึ้นไปอ่านแล้วเลือกเอา)

3. โดยส่วนตัวเช่นกัน ถ้าใช้ Tren ผมจะเทสต่ำไม่ได้ มันจะปวดหัวตึบๆๆๆๆ เลย ถ้า Tren A อาทิตละ 300 เทสอีนี่ต้องมี 600 ถึงจะปกติ แต่วีคแรกๆ ตอนระดับเทสยังไม่สูงก็ไม่ค่อยปกตินะครับ พอสักวีค 4 เออค่อยยังชั่ว


อ่ะจบละ ตามนี้แหละ มันไม่หนีไปมากกว่านี้ สรุปว่า


1. ใช้เท่าไหร่ก็ได้ให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ

2. แนะนำว่าเริ่มเทสก่อน แล้วค่อยๆ ใส่ตัวอื่น จับความรู้สึกเอา

3. แต่ที่มั่นใจคือถ้าเป็น Test + Tren มันจะต้องเป็น Test 1 หรือมากกว่า 1 ต่อ Tren 1 ส่วน ถึงจะปกติ ไม่งั้นร่วง

4. Deca บางคนแต่ส่วนน้อยใช้เยอะกว่าเทสได้ไม่มีปัญหา

5. EQ หลายคนว่าเยอะกว่าได้ ไม่มีปัญหา

6. Primo ตัวนี้ผมว่าควรจะเทสนำนะ เคยใช้เยอะๆแต่เทสน้อย ไม่ค่อยคุ้มอะ


แต่ถ้าให้แนะนำเลยนะ ก็สัปดาห์ละ 500 - 600 MG เริ่มต้นครับ

โดสนี้มีวิจัยแล้วว่าได้ผลคุ้มและผลข้างเคียงไม่ต่างจาก 300 MG แบบมีนัยยะสำคัญ

ดังนั้นกก็จัดไปเลยครับเริ่มต้น Test E หรือ C @ 500 - 600 MG/Week


ก็ประมาณนี้นะครับ หลักๆ ก็เท่านี้แหละ

ดู 70,712 ครั้ง3 ความคิดเห็น

3 Comments


Doxy Proxy
Doxy Proxy
Jul 04

ขอบสอบถามครับ ถ้าใช้เพื่อเพิ่ม ไซส์ หรรม เทส สามารถมั้ยครับ หรือมีอะไรตอบโจทย์ได้บ้างครับ

Like

feedback0043
Dec 17, 2021

ขอสอบถามเพิ่มเติมนะครับ สมมติว่าจะเริ่มออนเทสอย่างเดียวใน cycle แรก แต่ว่ายังมี %fat ที่มากกว่า 20 สามารถที่จะออนเพื่อ cut ได้ไหมครับ หรือว่าควรที่จะ cut เองก่อนแล้วค่อยเริ่ม cycle แรก ขอบคุณครับ🙏

Like
กฤตภาส ธีระวิสิษฐ์
กฤตภาส ธีระวิสิษฐ์
Apr 20, 2022
Replying to

คัทเองก่อนครับ เเฟตเยอะไป


Like
bottom of page